สารเติมเต็มมีคุณสมบัติในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว แก้ไขปัญหาร่องลึก ริ้วรอย
“ช่วยแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า ทำให้ใบหน้ามีมิติ ดูสดใส อ่อนเยาว์ เห็นการเปลี่ยนแปลงทันที”
-
แก้ไขปัญหาร่องลึกบริเวณร่องแก้มและร่องใต้ตา อันเป็นสาเหตุของใบหน้าหย่อนคล้อย เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันที
-
เติมความพร่องบนใบหน้าบริเวณ จมูก ขมับ โหนกแก้ม คาง ทำให้ใบหน้าแลดูมีมิติ
-
ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง
Filler หรือ สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังของเรา ซึ่งคอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญของผิว เพราะเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ นึกถึงเวลาจับแก้มเด็กเล็ก ๆ ดู จะสัมผัสได้ทันที ถึงความใส ตึง ที่ผิวแก้ม แต่ภายหลังอายุ 20 ปี คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง พอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่า ผิวหนังจึงยุบตัวลง ความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณจึงปรากฏ Filler (HA) ถูกนำมาฉีดเพื่อช่วยทดแทนคอลลาเจนในผิว ช่วยในการปรับแก้ไขรูปหน้า เช่น เสริมจมูก เสริมคาง หรือเพื่อเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า ลดริ้วรอย ร่องลึก หรือแม้แต่การบำรุงผิวให้กลับกระชับ เปล่งปลั่ง สดใสอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ หรือผิวหน้าอก นอกจากนั้นยังพบว่าการฉีด Filler สามารถทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวหนังเราเองในบริเวณรอบๆโมเลกุลของ Filler ที่เราฉีดเข้าไป ซึ่งประสิทธิภาพคล้ายการทำ laser ยกกระชับผิวหน้า และทำให้หลุมสิวดีขึ้นได้ในบางราย โดยไม่ทิ้งรอยแผล ไม่เกิดแผลเป็น หรือรอยดำ Filler นั้นเป็นสารที่ร่างกายมีอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดสารชนิดนี้เข้าไปในชั้นผิวหนังจึงไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายไปเองได้ตามกระบวนการทำงานของร่างกาย
MEDIGLOW CLINIC เลือกใช้เฉพาะฟิลเลอร์ JUVEDERM เครือบริษัทเดียวกับ Allergan U.S.A. (BOTOX ®ที่เรารู้จักกันดีซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก และปลอดภัยผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย
ตัวฟิลเลอร์ มีการผสมยาชา เพื่อขจัดปัญหาเรื่องความเจ็บปวดขณะฉีด อีกทั้งโมเลกุลของไฮยาลูรอนิก แอสิด (Hyaluronic Acid) สามารถอยู่ได้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าตัวฟิลเลอร์อื่นๆ และจะค่อยๆสลายหมด 100% ไม่ตกค้างในร่างกายผู้รับการรักษามั่นใจได้ในคุณภาพ และ ความปลอดภัย
- ระยะเวลาเฉลี่ยโดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ถึง 2 ปี ในการยืดอายุฟิลเลอร์มีอายุการใช้งานที่นานขึ้นควรดื่มน้ำให้มากๆ เพราะฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี และช่วยให้ผลการรักษายาวนานขึ้น ต่อการทำ 1 ครั้ง สำหรับกลุ่มไฮยาลูรอนิก แอสิด (Hyaluronic Acid) ที่ผ่านการรับรองจาก FDA และ องค์การอาหารและยาในประเทศไทย
- ระหว่างฉีดจะรู้สึกสบายมากขึ้น เนื่องจากขบวนการผลิตมีการผสมยาชา เข้าไปในโมเลกุลของไฮยาลูรอนิก แอสิด (Hyaluronic Acid) ทำให้ขณะฉีดมีความรู้สึกเจ็บน้อยลงมาก จนแทบไม่รู้สึกเลย
- โมเลกุลของไฮยาลูรอนิก แอสิด (Hyaluronic Acid) เป็นเนื้อเดียวกัน และลดการเกิดการเป็นก้อน และผิวไม่เรียบหลังการฉีด
- หลังการฉีด ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นเนื่องจาก Juvédermลดโอกาสการกระจายตัว หรือไหลออกไปสู่บริเวณข้างเคียงได้ค่อนข้างมากกว่า และทำให้ใช้ยาปริมาณน้อยลง เนื่องจากไม่ได้ยุบลงหลังฉีดมากเหมือฟิลเลอร์ตัวอื่น และได้ผลการรักษาที่สวยงามมากขึ้น
- Juvederm มีความเข้มข้นของปริมาณ ไฮยาลูรอนิก แอสิด (Hyaluronic Acid) ต่อ 1 มิลลิลิตร (ml) ในปริมาณที่มากกว่าฟิลเลอร์ตัวอื่นๆ
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ปัญหา ความต้องการเติมเต็มริ้วรอยในบริเวณที่เหมาะสม
- ทำความสะอาดผิวหน้า
- ใช้ยาชาชนิดครีมแปะบริเวณที่ต้องการฉีดประมาณ 30 นาทีหรือในบางกรณีแพทย์อาจใช้วิธีฉีดยาชาเฉพาะที่
- แพทย์จะทำการฉีดสารไฮยาลูโรนิค แอซิด ในบริเวณที่ต้องการ
- แพทย์จะทำการนวดบริเวณที่ได้รับการฉีดเบาๆ เพื่อให้ยากระจายตัวและเพื่อจัดรูปทรงให้ได้รูปสวยงามตามที่ต้องการ
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหลังฉีดฟิลเลอร์ 12 ชั่วโมงแรก
- หลังฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมงแรก ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก การสัมผัสโดนความร้อน เช่น ซาวน่า การออกแดดจัด เนื่องจากฟิลเลอร์ยังไม่คงรูป อาจทำให้การฉีดไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร และอาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- หลังการฉีดฟิลเลอร์ 2-3 วัน ควรงดดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้ปวด วิตามินอี แป๊ะก็วย ฯลฯ เพราะอาจทำให้เกิดอาการบวมหรือรอยช้ำบริเวณตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์ได้
- งดการนวดหน้า ลอกหน้า กรอผิว การทำ AHA ทรีทเมนต์และการทำเลเซอร์ทุกชนิด หลังการฉีดฟิลเลอร์ 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- หลังการฉีดฟิลเลอร์ควรดื่มน้ำมากๆ เนื่องจากสาร HA มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ จะช่วยให้ประสิทธิภาพการเติมเต็มดีขึ้น
- คนที่มีปฎิกิริยาแพ้ต่อสาร hyaluronic acid
- ผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นนูนคีลอยด์ได้ง่าย
- ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ควบคู่กับการทำเลเซอร์ที่ทำให้เกิดแผลหรื อการลอกผิวหน้าในบริเวณที่ฉีด
- ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่ผิวหนังมีการอักเสบ หรือมีการติดเชื้อ